home » การดูแลผู้ป่วยที่ติดเครื่องกระตุ้นหัวใจ »

การดูแลผู้ป่วยที่ติดเครื่องกระตุ้นหัวใจ

 paceanimation.gifเครื่อง กระตุ้นหัวใจเป็นอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ทำงานโดยอาศัยแบตเตอรี่ เครื่องนี้จะฝังไว้บริเวณใต้กระดูกไหปลาร้าอาจเป็นด้านซ้ายหรือขวาขึ้นกับ ความถนัดของคนไข้ ถ้าถนัดช้ายจะใส่ขวา ถนัดขวาจะใส่ซ้าย  
     หลังการผ่าตัดหากไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ ผู้ป่วยมักจะกลับบ้านได้ใน 2-3 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ผู้ป่วยจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ยกเว้นอาการเจ็บบริเวณแผลผ่าตัดในช่วง 2 วันแรกแต่จะค่อยๆดีขึ้นและหายใน 7-10 วันซึ่งเป็นเวลาที่แผลที่ผิวหนังสมานกันดีแล้ว 
             ในระยะ 2-3 สัปดาห์แรก ควรหลีกเลี่ยงการใช้แขนข้างผ่าตัดฝังเครื่อง ไม่แกว่งแขนวงกว้างๆหรือสูง โดยเฉพาะเร็วๆ เพราะสายขั้วไฟฟ้า (Pacemaker lead) อาจหลุดจากตำแหน่งที่เหมาะสม ทำให้การทำงานของเครื่องขัดข้อง หลัง 3 สัปดาห์ไปแล้วโอกาสที่สายจะเลื่อนหลุดจะลดลงมาก จากปฏิกิริยาของร่างกายที่สร้างพังพืดมากห่อหุ้มและยึดเครื่องและสายไว้แน่น
     หลีกเลี่ยงการถู กด หรือเกา บริเวณแผลและรอบๆแผลเพื่อ หลีกเลี่ยงการติดเชื้อ ไม่เพียงระยะแรกแต่ต้องตลอดไป รวมทั้งสังเกตบริเวณแผลและรอบๆแผลว่ามีความผิดปกติหรือไม่ เช่น ปวด บวม แดง ร้อน หรือมีน้ำเหลืองไหลผิดปกติ หากสงสัยการติดเชื้อควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
     รับประทานยาตามแพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ แพทย์อาจให้ยา ปฏิชีวนะระยะสั้นๆหลังการผ่าตัด
     หากมีอาการผิดปกติเช่น ใจสั่น หน้ามืดเป็นลม เหนื่อยหอบผิดปกติ สะอึกตลอดเวลา โดยเฉพาะตามจังหวะการเต้นของหัวใจ ควรรีบพบและปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุและตรวจสอบการทำงานของเครื่อง
     มาพบแพทย์ตามนัดเป็นระยะเพื่อ ตรวจติดตามอาการและการทำงานของเครื่อง ครั้งแรก 1-4 สัปดาห์ ครั้งที่สอง  2-3 เดือน หลังจากนั้นทุก 6 เดือน
      หากไม่มีข้อห้ามอื่น ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติใน 2-3 วันหลังผ่าตัด และค่อยๆออกกำลังฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายภายในสัปดาห์แรก แต่ให้จำกัดการเคลื่อนไหวของแขนข้างผ่าตัด หลังการตรวจทดสอบเครื่องครั้งแรก (1-4 สัปดาห์หลังผ่าตัด) ถ้าไม่มีปัญหาใดๆ ผู้ป่วยสามารถออกกำลังเพิ่มมากขึ้น ทำงานอดิเรก กิจกรรมนันทนาการต่างๆ รวมทั้งเพศสัมพันธ์ตามปกติ แต่กีฬาที่ต้องแกว่งแขนแรงๆเร็วเช่น ตีกอล์ฟอาจต้องรอให้พ้นระยะ 2 เดือนไปก่อน ส่วนการอาบน้ำขึ้นกับลักษณะการปิดแผล โดยปกติก็ต้องเลย 5-7 วันไปก่อน หากไม่มีข้อห้ามอื่น ผู้ป่วยสามารถขับรถส่วนตัวได้หลังการตรวจเครื่องครั้งแรก (1-4 สัปดาห์หลังการผ่าตัด) ความกังวลจะค่อยๆลดลงพร้อมกับการประกอบกิจวัตรประจำวันและกิจกรรมต่างๆจะ กลับมาเป็นปกติ 
     สำหรับการเล่นกีฬา โดยทั่วไปเมื่อพ้นสองถึงสามเดือนหลังการฝังเครื่อง ไม่มีข้อห้ามสำหรับกีฬาชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ต้องคำนึงถึงโรคหัวใจ โรคอื่นๆ และสภาพร่างกายโดยรวมของผู้ป่วยเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่มีโอกาสเกิดการปะทะเช่น มวย หรือแม้แต่ ฟุตบอล บาสเกตบอล การกระแทกบริเวณที่ฝังเครื่องไว้อาจทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนัง หากเกิดการพกช้ำหรือแผลจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อได้
บัตรประจำตัวผู้ป่วย (Pacemaker Identification Card)
     ผู้ป่วยทุกรายที่ได้รับฝังเครื่อง จะได้รับบัตรประจำตัวผู้ป่วยที่ออกโดยบริษัทที่จำหน่ายเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า หัวใจ โดยมีรายละเอียดในบัตรดังนี้
- ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อของผู้ป่วย
- ชื่อรุ่น เลขประจำเครื่อง (Serial Number) ของเครื่องและสายขั้วไฟฟ้าที่ได้รับฝังในตัวผู้ป่วย
- วันที่รับการผ่าตัด
- โรงพยาบาลและแพทย์ ที่ผ่าตัดหรือดูแลติดตามผู้ป่วย รวมทั้งเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ
ผู้ป่วย ควรพกบัตรติดตัวไว้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อเดินทาง เพราะอาจต้องใช้บริการทางการแพทย์ที่อื่น และสำหรับแสดงเพื่อยกเว้นการตรวจด้วยเครื่องตรวจอาวุธหรือโลหะตามสถานที่ จำเพาะบางแห่งเช่น สนามบิน 
     การตรวจติดตาม ผู้ป่วยควรพบ แพทย์เพื่อตรวจติดตามการทำงานของเครื่องอย่างน้อยทุก 6 เดือน การตรวจแต่ละครั้ง แพทย์จะใช้เครื่องโปรแกรมเมอร์สื่อสารกับเครื่องกระตุ้นหัวใจ ตรวจการทำงานของเครื่องกระตุ้นหัวใจ  แบต เตอรี่ที่เหลือ  การทำงานของสายและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราเต้นของหัวใจ  และภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งถูกเก็บไว้ เพื่อปรับการทำงานของเครื่องหรือปรับยาเพื่อให้หัวใจทำงานได้ใกล้เคียงปกติ มากที่สุด
 อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ปกติจะประมาณ 5-10 ปี ขึ้นกับปริมาณพลังงานที่ใช้กระตุ้นในแต่ละครั้ง และความถี่ที่เครื่องต้องส่งพลังงานไฟฟ้าไปกระตุ้น หากตรวจเช็คเครื่องแล้ว พบว่าต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ แสดงว่าแบตเตอรี่หมดอายุจำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนเครื่องกระตุ้นหัวใจใหม่
      ข้อควรระวัง เนื่อง จากเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจเป็นอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ สนามแม่เหล็กกำลังสูงอาจมีผลต่อการทำงานของเครื่องได้ ผู้ป่วยจึงควรทำความเข้าใจและหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจรบกวนการทำงานของ เครื่องดังกล่าว
     1. อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านและสำนักงาน ส่วนใหญ่ อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านและสำนักงานที่ทำงานปกติจะไม่มีผลรบ กวนการทำงานของเครื่องกระตุ้นหัวใจ ผู้ป่วยสามารถใช้งานได้ตามปกติ เช่น เตาไมโครเวฟ เตาอบไฟฟ้า เครื่องบด หั่น ปั่น หรือผสมอาหาร ที่เปิดกระป๋องไฟฟ้า เครื่องอบปิ้งขนมปัง เครื่องล้างจานอัตโนมัติ เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า โทรศัพท์ทั้งชนิดมีและไม่มีสาย ฯลฯ แต่แนะนำให้อยู่ห่างจากอุปกรณ์ที่มีมอร์เตอร์อยู่ในตัวอย่างน้อย 15 เซนติเมตร เช่น เครื่องซักผ้า อบผ้า เป็นต้น
อย่างไรก็ตามหากอุปกรณ์ เหล่านี้ทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะ ไฟรั่ว อาจมีผลรบกวนการทำงานของเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าให้จังหวะหัวใจได้เมื่อเข้าใกล้ หรือสัมผัส
      2. โทรศัพท์มือถือ (Mobile phone) ไม่มีผลต่อเครื่องแต่แนะนำให้ใช้มือและหูด้านตรงข้ามกับที่ฝังเครื่อง กระตุ้นหัว ใจเวลาพูดคุยโทรศัพท์ และเมื่อไม่ได้ใช้โทรศัพท์ ก็ไม่ควรพกโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านเดียวกับที่ฝังเครื่อง กระตุ้นหัวใจหรือแขวนไว้กับคอใกล้กับเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจน้อยกว่า 15 เซนติเมตรต่อเนื่องนานๆ สำหรับเครื่องที่มีกำลังมากกว่า 3 วัตต์ ให้เพิ่มระยะห่างจากเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าให้จังหวะหัวใจเป็น 30 เซนติเมตร  
      3. อุปกรณ์ที่มีแม่เหล็กในตัว สามารถ ใช้ได้แต่ให้แม่เหล็กห่างจากเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าให้จังหวะหัวใจมากกว่า 15 เซนติเมตร ตู้ลำโพงขนาดใหญ่มีไว้ใช้ในบ้านได้ แต่ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยยกเพราะทำให้แม่เหล็กเข้าใกล้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า หัวใจมากเกินไป ที่นอนหรือหมอนที่ฝังแม่เหล็กโดยทั่วไปมักจะหลบได้ยาก และไม่สามารถอยู่ห่างจากเครื่องกระตุ้นไฟ ฟ้าหัวใจโดยเฉพาะเมื่อหลับ จึงไม่แนะนำให้ใช้
      4. สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ อุปกรณ์ช่างที่มีกำลังมอเตอร์สูง มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูง เช่น เลื่อยไฟฟ้า เครื่องเชื่อมโลหะ ไม่เข้าใกล้หม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ เครื่องกำเนิดพลังงาน(ไฟฟ้า)ขนาดใหญ่ในโรงงานอุตสาหกรรมหรือในโรงไฟฟ้า เตาหลอม ไม่เข้าใกล้บริเวณหอและเครื่องส่งในสถานีโทรทัศน์หรือวิทยุ
     5. การตรวจรักษาทางการแพทย์ การตรวจรักษาทางการแพทย์ส่วนใหญ่สามารถทำได้โดยไม่มีผลรบกวนการทำ งานของเครื่องกระตุ้นหัวใจ เช่น 
     การตรวจรักษาฟัน การกรอฟัน ถอนฟัน ผ่าตัดฟัน การตรวจเอ็กซ์เรย์  การตรวจด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวด์  
     การตรวจรักษาด้วยอุปกรณ์บางชนิดอาจมีผลรบกวนการทำงานของเครื่องชั่วคราว แต่สามารถทำได้ภายใต้การดู แลของแพทย์ โดยการปรับตำแหน่งที่วางอุปกรณ์เหล่านั้น หรือปรับโปรแกรมการทำงานของเครื่องกระตุ้นหัวใจชั่วคราว เมื่อให้การตรวจรักษาด้วยอุปกรณ์ดังกล่าวเรียบร้อยแล้วจึงปรับโปรมแกรมกลับ มาดังเดิม เช่น เครื่องจี้ไฟฟ้าเพื่อห้ามเลือดเวลาผ่าตัด (Electrocautery) เครื่องรักษาด้วยเครื่องกำเนิดความร้อน (Diathermy) เครื่องสลายนิ่ว (Lithotripsy) เครื่องกระตุกช็อกไฟฟ้าจากภายนอก (External defibrillator) การตรวจและรักษาด้วยการใส่สายสวนหัวใจและจี้รักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วย คลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (Radiofrequency ablation) การรักษาด้วยการฉายรังสี (Radiation therapy) การใช้ไฟฟ้ากระตุ้นประสาทผ่านทางผิวหนังเพื่อรักษาเช่นเพื่อลดอาการปวด (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation; TENS) อุปกรณ์ช่วยการได้ยินบางอย่างใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ควรตรวจทดสอบว่ามีการรบกวนการทำงานของเครื่องกระ ตุ้นหัวใจหรือไม่ก่อนให้ใช้ เพราะต้องใช้ในระยะเวลานาน
     สำหรับการตรวจเพื่อให้ได้ภาพโดยใช้คลื่นสะท้อนแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging) ยังเป็นข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจอยู่ แม้ว่าเครื่องกระตุ้นหัวใจรุ่นใหม่จะมีความปลอดภัยมากขึ้นจากการรบ กวนโดยการตรวจวิธีนี้ ในรายที่ไม่มีวิธีอื่นจำเป็นต้องใช้วิธีการตรวจพิเศษนี้ควรปรึกษาแพทย์
    การเดินทาง ควร พบและปรึกษาแพทย์ อาจต้องตรวจการทำงานของเครื่องก่อนการเดินทาง ต้องพกบัตรประจำตัวผู้ได้รับการฝังเครื่องด้วยเสมอ แสดงบัตรเมื่อต้องผ่านบริเวณที่มีประตูหรือการใช้อุปกรณ์สำหรับการตรวจหา อาวุธหรือโลหะ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจบริเวณที่มีเครื่องฝังอยู่ (แต่อาจต้องรับการตรวจค้นด้วยมือแทน) โดยทั่วไปการเดินผ่านประตูที่มีเครื่องตรวจอาวุธและโลหะไม่มีผลทำให้การ ทำงานของเครื่องเสียหน้าที่ ยกเว้นยืนค้างที่ประตูนานๆ อาจมีผลต่อการทำงานของเครื่องได้ เมื่อพ้นประตูไป ก็จะกลับสู่ปกติทันที แต่การเดินผ่านอาจกระตุ้นให้เสียงเครื่องตรวจโลหะดัง การแสดงบัตรจะช่วยให้ได้ความสะดวกในการตรวจค้นและผ่านไปได้รวดเร็วขึ้น ในห้องสมุดและตามห้างสรรพสินค้าต่างๆปัจจุบันจะที่เครื่องตรวจป้องกันการ ขโมย ผู้ป่วยที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจสามารถเดินผ่านได้โดยไม่ทำให้การทำงานของ เครื่องผิดปกติ แต่ไม่ควรยืนค้างระหว่างเครื่องตรวจนานๆ  หากเครื่องตรวจจับขโมยดัง ควรแสดงบัตรประจำตัวของผู้ป่วย ตู้ขายสินค้าอัตโนมัติโดยทั่วไปไม่มีผลรบกวนการทำงานของเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า ให้จังหวะหัวใจ ระบบสัญญาณกันขโมยในบ้านทั่วไปไม่มีผลทำให้เครื่องทำงานผิดปกติ และเครื่องกระตุ้นหัวใจก็ไม่กระตุ้นสัญญาณกันขโมยดังแต่อย่างใด
     หากมีโรคประจำตัวอื่นควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลด้วย รวมทั้งเตรียมยาในปริมาณที่เหมาะสม หากเดินทางไกต่างประเทศในระยะเวลานาน อาจมีความจำเป็นต้องมีใบรับรองแพทย์ สรุปการรักษาและยาที่ใช้ เพราะอาจจะต้องใช้บริการทางการแพทย์ต่างแดนหรือซื้อยาเพิ่มเติมซึ่งมักต้อง ใบสั่งยาจากแพทย์

*ข้อความที่เป็นโฆษณาทั้งหมดใน eldercarethailand.com ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณของท่านในการตัดสินใจ กรุณารวบรวมข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจเลือก ทาง Elder Care Thailand ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำของทางศูนย์ดูแลฯ ใด ๆ ทั้งสิน*

Copyright © 2011 ข้อมูล ดูแลผู้สูงอายุ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ การดูแลผู้สูงอายุ Eldercarethailand. Designed by eldercarethailand